ตับอักเสบไวรัส B

มารู้จักตับอักเสบไวรัสบี กันเถอะ

ตับอักเสบไวรัส B

มารู้จักตับอักเสบไวรัสบี 

           ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกาย  อยู่ใต้ชายโครงด้านขวาเป็นเสมือนโรงงานเคมีของร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง  เช่น  กักเก็บสารอาหารสังเคราะห์โปรตีนโคเลสเตอรอลและวิตามิน  ผลิตน้ำดีเพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน  ควบคุม การสันดาปของฮอร์โมน ผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดเมื่อผนังหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บ และกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย เป็นต้น ตับยังเป็นอวัยวะที่อึดมากๆ ถึงแม้ว่าตับเสียหายไป มากถึง 70% แล้วก็ตาม แต่คนเราก็ยังสามารถมี ชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของตับที่เหลือเพียง30% เท่านั้น  ผู้ป่วยโรคตับส่วนใหญ่จึงไม่มีอาการที่ชัดเจน และไม่แสดงความผิดปกติในผลเลือด  แต่พอมีอาการหรือตรวจพบก็มักจะสายเกินไปเสียแล้ว

     - ไวรัสตับอักเสบ B อยู่ใกล้ตัวเรา...

          ตับถูกทำลายได้จากหลายสาเหตุ เช่น การได้รับสารพิษ (สารเคมี ยา แอลกอฮอล์ ฯลฯ) การติดเชื้อหรือไวรัส เป็นต้น ซึ่งจะทำลายตับแบบเฉียบพลันส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างรวดเร็วและแบบเรื้อรัง จะทำให้ตับแข็งและอาจกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด ส่วนไวรัสตับอักเสบที่ค้นพบ ในปัจจุบันมีหลายสายพันธุ์  แต่สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดปัญหามากที่สุดคือไวรัสตับอักเสบ B เนื่องจากสามารถทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้ประเทศไทย อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B สูงมากๆ โดยมีผู้ที่เป็นพาหะคอยแพร่เชื้อให้ให้คนอื่นประมาณ 10% ถ้ารวมถึงผู้ที่เคยติดเชื้อแล้ว อาจสูงถึง 20-50% เลยทีเีดียว ไวรัสตับ อักเสบ B ถ่ายทอดในครอบครัวได้ ถ้ามีคนหนึ่งในครอบครัวเป็นแล้วไม่ป้องกันให้ดีอาจเป็นได้ทั้งครอบครัว

     - ไวรัสตับอักเสบ B ติดต่อด้วยวิธีใด...

          ไวรัสตับอักเสบ B อยู่ในเลือด และอาจพบอยู่ในน้ำลาย น้ำตา น้ำนม ปัสสาวะ น้ำอสุจิและน้ำเมือกในช่องคลอด การติดต่อของไวรัสตับอักเสบ B ที่สำคัญมี 3 ทางด้วยกัน
    • การติดต่อจากมารดาสู่ทารก  เป็นหนทางที่ทำให้เกิดการติดต่อมากที่สุด และคนที่ติด เชื้อตั้งแต่คลอดจะมีความเสี่ยงต่อตับแข็งและมะเร็งตับมากขึ้น รวมทั้งอาจเสียชีวิตตอนอายุยัง ไม่มาก
    • การติดต่อทางเพศสัมพันธ์  คนที่มีเชื้ออยู่ในร่างกายไม่ว่ามีอาการหรือไม่มีโอกาสแพร่เชื้อให้คู่นอนได้
    • การติดต่อทางเลือดและอุปกรณ์ปนเปื้อนเลือด เช่น การให้เลือด การฉีดยา การฝังเข็ม การสักตามร่างกายการเจาะหู  การทำฟัน  การฟอกไต  การลองต่างหู  การใช้แปรงสีฟันหรือมีดโกนร่วมกับผู้อื่น หรือการใช้เครื่องมือแพทย์ที่ปนเปื้อนเลือดของผู้ที่มีเชื้อไวรัส B เป็นต้น

     - ตับอักเสบไวรัส B มีอาการอย่างไร...
    • ตับอักเสบไวรัส B ชนิดเฉียบพลัน  ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการอ่อนเพลีย  เบื่ออาหาร คลื่นไส้  อาเจียน จุกแน่นชายโครงด้านขวา  และต่อมาจะมีอาการตัวเหลือง  ตาเหลืองและ ปัสสาวะสีเข้ม ถึงแม้ว่า 90-95% ของผู้ป่วยตับอักเสบไวรัส B ชนิดเฉียบพลันจะหายเป็นปกติ ก็ตาม แต่ก่อนที่จะหายในช่วงแรกอาจอักเสบรุนแรงถึงกับตับวายและเสียชีวิตได้ และประมาณ 5-10% จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
    • ตับอักเสบไวรัส B ชนิดเรื้อรัง  ซึ่งหมายถึง มีอาการอักเสบของตับนานเกินกว่า 6 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ  บางรายอาจมีอาการแค่อ่อนเพลีย  ง่วงนอน  เบื่ออาหาร  ท้องอืด ท้องเฟ้อ  เครียดเรื้อรังส่วนใหญ่จะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจร่างกายประจำปี  อาการ อักเสบของตับจะเป็นๆ หายๆ เนื่องจาก DNA ของไวรัสได้แทรกเข้าไปใน DNA ของเซลล์ตับ ตราบใดที่มีเซลล์ตับเกิดขึ้นใหม่  ตราบนั้นก็จะมีการขยายพันธุ์ ของไวรัส  จึงทำให้เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ จนเสี่ยงต่อตับแข็งและมะเร็งตับได้ พาหะไวรัส B ชนิดเรื้อรัง ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใดๆ

     - พาหะไวรัส B ยังเป็นคนปกติแข็งแรง... จริงหรือไม่

          พาหะหรือ carrier ไวรัส B  หมายถึงผู้ที่มีไวรัส B อยู่ในร่างกายโดยที่ไม่มีอาการแสดงแต่สามารถแพร่เชื้อไวรัสให้แก่ผู้อื่น ในบ้านเรา พบผู้ที่เป็นพาหะไวรัส B ประมาณ 10% ด้วย เหตุที่ไม่แสดงอาการ ผู้ที่เป็นพาหะส่วนใหญ่จึงเข้าใจผิดว่าตนเองยังเป็นคนปกติแข็งแรงและ ละเลยการดูแลสุขภาพของตับ แต่หารู้ไม่ ไวรัส B ที่อยู่ในร่างกายนั้นเปรียบเสมือนระเบิดเวลา ซึ่งพร้อมที่จะทำลายเซลล์ตับเมื่อร่างกายอ่อนแอ รวมทั้ง อาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังโดยที่ไม่มีอาการแจ้งเตือนล่วงหน้า ถึงแม้ว่าพาหะไวรัส B มีผลการตรวจเลือดทดสอบการทำงานของตับที่ปกติก็ตาม แต่เมื่อมีการตรวจเพิ่มเติม ด้วยการเจาะเนื้อตับออกมาพิสูจน์ก็มักจะพบเนื้อตับถูกทำลายไปไม่มากก็น้อย ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นพาหะที่อายุย่างเข้า 40-50 ปี และติดเชื้อจากมารดาตั้งแต่กำเนิดผู้ที่เป็นพาหะไวรัส B จึงควรดูแลตับเป็นพิเศษ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด หลีกเลี่ยง ถั่วลิสงโดยเฉพาะ ถั่วลิสงป่นที่ค้างนานๆ พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยวและเต้าหู้ยี้ ห้ามดื่มเหล้า ออกกำลังกายได้แต่อย่าหักโหม อย่างดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก  งดบริจาคเลือดและใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ที่สำคัญคือควรหมั่นตรวจ เลือดดูเชื้อไวรัสและทดสอบการทำงานของตับ  รวมทั้งตรวจสารแอลฟาฟีโตโปรตีน  เพื่อค้นหามะเร็งตับระยะแรก เริ่มทุกๆ 3-6 เดือน ส่วนคนในครอบครัวเดียวกันควรได้รับการตรวจว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัส B หรือไม่  ถ้าไม่มีก็ควรฉีดวัคซีนป้องกันไม่ให้ติดด้วย

     - ตับอักเสบไวรัส B กับมะเร็งตับสัมพันธ์กันอย่างไร...

        จากสถิติทางคลินิคในปัจจุบันพบว่า  กว่า 80% ของผู้ป่วยมะเร็งตับเกิดจากตับอักเสบไวรัส B  ส่วนพาหะไวรัส B  จะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปมากถึง  223  เท่า เหตุไฉนจึงทำให้ตับอักเสบไวรัส B กลายเป็นสาเหตุหลักๆ ของมะเร็งตับ?
          จริงๆ แล้วไวรัส B ในร่างกายจะทำลายเซลล์ตับอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการอักเสบและการซ่อมแซมของเซลล์ตับอย่างซ้ำๆ ซากๆ   นานวันเข้าพังผืดที่คล้ายปุ่มและแผลเป็นที่มีลักษณะแข็งกว่าที่เกิดจากการซ่อมแซมของเซลล์ตับนั้นก็จะค่อยๆ  แทนที่เซลล์ตับที่ปกติ ทำให้ตับแข็งและไม่สามารถทำงานได้ปกติ ตับแข็งจากระยะแรกเริ่ม ถึงระยะปลายใช้เวลาประมาณ 10~15 ปี  ระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการเลย  จนถึงวันที่ตับวายคืออีก 2~3 ปี ก่อนจะเสียชีวิตจึงมีอาการ ซึ่งอย่างมากแค่เพลียๆ จุกๆ นิดหน่อย  หากผู้ป่วยตับแข็งในระยะแรกเริ่มได้รับการรักษา เพื่อลดจำนวนไวรัสและชะลอการอักเสบของตับ ตับก็จะมีโอกาสสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่เสียไป ภาวะตับแข็งก็จะพัฒนาช้าลง แต่ถ้าผู้ป่วยไม่รู้ตัวหรือไม่รักษาเลย เซลล์ตับที่เกิดขึ้นใหม่จะถูกไวรัส B ทำลายอย่างต่อเนื่องและอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะของ DNA อย่างเฉียบพลัน จนกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งตับคือ ต้องรักษาตับอักเสบเสียแต่เนิ่นๆ ส่วนสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ผู้ป่วยมะเร็งตับมีอัตราการอยู่รอดต่ำคือ มะเร็งตับในระยะแรกที่สามารถรักษาให้หายได้นั้น ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจนทั้งนี้ เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่อึดมากๆ แม้ถึงขั้นมะเร็งระยะแรก ตับก็ยังคงทำงานได้เกือบปกติ อย่างมากก็มีแค่อาการที่คลุมเครือในผู้ป่วยบางคน เช่น เสียดท้องด้านขวา ปวดแน่นชายโครงเป็นบางครั้งหรืออารมณ์ฉุนเฉียว เป็นต้น แต่พอมีอาการที่ชัดเจนขึ้น เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จุกเสียดแน่นท้อง น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว หรือปวดแน่นชายโครงด้านขวา เป็นต้น ก็ยากที่จะเยียวยาแล้ว เพราะมะเร็งตับได้ลุกลามจนเกือบทั่วทั้งตับแล้ว  ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังและพาหะไวรัส B จึงควรตรวจหาแอลฟาฟีโตโปรตีน  เพื่อค้นหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มทุกๆ 3-6 เดือน

     - ตับอัิกเสบไวรัส B ป้องกันได้อย่างไร...

          ถึงแม้ว่าผู้ติดเชื้อไวรัส B ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นตับอักเสบเสมอไปทุกราย เนื่องจากภูมิ คุ้มกันของร่างกายอาจกำจัดได้ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยจะกลายเป็นพาหะหรือตับอักเสบเฉียบพลัน และในกลุ่มที่ตับอักเสบเฉียบพลันก็จะมีประมาณ 5-10% จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังในที่สุด  ซึ่งล้วนแล้วจะเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งและมะเร็งตับ  ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจต้องรักษาไปตลอด ชีวิตและค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมากๆ ตามโรงพยาบาลทั่วไป   แต่คุณรู้ไหมว่าเราสามารถป้องกันตับอักเสบไวรัส B ได้   เพียงแค่ไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลว่ามีภูมิคุ้มกันต่อไวรัส B หรือไม่ ถ้ายังไม่มีก็ป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต ปัจจุบันวัคซีนไวรัส B สามารถได้ผล
ถึง 95% แต่สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัส B มาก่อน การฉีดวัคซีนจะไม่ได้ผลใดๆ ส่วนผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก แล้วคุณไปตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัส B มาแล้วหรือยัง?

     - สาเหตุตับอัิกเสบในทัศนะการพทย์จีน...

   • สาเหตุตับอัิกเสบในทัศนะการพทย์จีน...การแพทย์จีนได้จัดตับอักเสบให้อยู่ในกลุ่มโรคของ ภาวะพลังชี่อั้นในตับ ภาวะเลือดคั่งในตับ ร่วมกับ ภาวะร้อน-ชื้นในตับ

   ภาวะพลังชี่อั้นในตับ ในทัศนะการแพทย์จีน หนึ่งใน หน้าที่สำคัญของตับ   คือการระบายพลังชี่ให้กระจายไปสู่ทั่วทั้งร่างกาย  ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ตับและอวัยวะอื่นๆ ทำงานได้ปกติ  แต่ความสามารถในการระบายพลังชี่ของตับจะค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุย่างเข้า 30-35 ปี ซึ่งเป็นไปตามความเสื่อมของร่างกาย จึงส่งผลให้พลังชี่ถูกอั้นไว้ในตับ เลือดและพลังชี่ก็จะไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้เส้นลมปราณตับสะดุดและติดขัด  นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงในชีวิตประจำวันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะเร่งให้เกิด ภาวะพลังชี่อั้นในตับ เร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น

   • ภาวะเลือดคั่งในตับ  เมื่อการไหลเวียนของเลือดกับพลังชี่สะดุดและติดขัดเป็นเวลานาน  เลือดก็จะจับตัวเป็นลิ่ม เป็นก้อน  ทำให้เกิดความผิดปกติทั้งขนาด  รูปร่างและการทำงานของหลอดเลือดในตับ เซลล์ตับจึงได้รับการหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอและส่งผลกระทบต่อกระบวนการสันดาปโภชนาอาหารของตับ สมรรถภาพการทำงานของตับจึงลดลงไปเรื่อยๆ

   • ภาวะร้อน-ชื้นในตับ  การระบายพลังชี่ของตับมีผลต่อการทำงานของระบบการย่อยอาหาร ภาวะพลังชี่อั้นในตับจะทำให้ตับ กระเพาะอาหารและม้ามทำงานไม่สัมพันธ์กันก่อให้เกิดการสะสมพิษร้อน-ชื้นไปตามระบบการย่อยอาหารซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของตับ  ตลอดจน การสร้างและการขับน้ำดี ทำให้เกิดอาการหลายอย่าง เช่น เบื่ออาหารเบื่อของมัน ท้องอืด ท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย  เรอบ่อย  ท้องร่วงหรือมีอุจจาระหยาบไม่จับตัวเป็นก้อน  ปากขม ดีซ่าน  เป็นต้น  นอกจากนี้  พิษร้อน-ชื้นยังทำให้ภูมิคุ้มกันของตับต่ำลงและเกิดการอักเสบ พร้อมทั้งเอื้อต่อการรุกรานและการแพร่พันธุ์ของเชื้อไวรัสด้วย  เซลล์ตับจึงถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ จนเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งและมะเร็งตับ

     -การแพทย์จีนป้องกันและบำบัดโรคตับอย่างไร...

          เป็นที่ทราบกันแล้วว่า ผู้ป่วยโรคตับส่วนใหญ่ไม่มีอาการชัดเจนและไม่แสดงความผิดปกติในผลเลือด แต่พอมีอาการหรือตรวจพบก็มักจะสายเกินแก่เสียแล้ว  การแพทย์จีนจึงยึดมั่นในหลักการเสริมสร้างเพื่อป้องกันดีกว่ารักษาเพื่อบรรเทาในการป้องกันและบำบัดโรคตับมาโดยตลอด พร้อมทั้งให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้ถูกสุขลักษณะด้วย

   • เสริมสร้างเพื่อป้องกัน  สำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป  หรือมีปัจจัยเสี่ยง  เช่น  มีความ เครียดเป็นประจำ ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารเผ็ด มัน ชอบทานอาหารประเภทถั่ว และของหมักดองนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ การทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทานยาแผนปัจจุบันเป็นประจำ ขาดการออกกำลังกาย มีโรคประจำตัวเป็นต้น การแพทย์จีนแนะนำควรบำรุงตับเป็นประจำเพื่อให้ตับอยู่ในสภาพสมดุลอยู่เสมอ

   • ตัดไฟแต่ต้นลม  ถึงแม้ว่าโรคตับส่วนใหญ่ไม่มีอาการที่ชัดเจนในระยะแรกเริ่ม แต่ใช่ว่าร่างกายจะไม่ส่งสัญญาณเตือนใดๆ เลย

     - สัญญาณเตือนของโรคตับ 
   • เครียด ขี้หงุดหงิด ซึมเศร้า โมโหง่าย ตกใจง่าย
   • รู้สึกมีอะไรจุกอยู่ที่คอหอย จะกลืนก็ไม่เข้า จะคายก็ไม่ออก
   • ท้องอืดท้องเฟ้อ เรอบ่อย
   • นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ชอบหาวนอนหรือง่วงนอนตอนกลางวัน
   • ผิวหน้าซีดเหลือง ไม่มีเลือดฝาดหรือมีฝ้าฮอร์โมนบนใบหน้า
   • ลิ้นออกสีม่วงคล้ำ หรือมีจุดม่วงคล้ำ หรือมีจุดเลือดออกเล็กๆ
   • เส้นเลือดดำใต้ลิ้นเป็นสีเขียวคล้ำหรือสีม่วงคล้ำ  หรือขอดใหญ่ขึ้นหรือมี
   • เส้นเลือดฝอยแตกแขนงมากขึ้น หรือใต้ลิ้นมีตุ่มสีเขียวคล้ำ หรือสีดำคล้ำ
   • ขอบลิ้นมีรอยกดทับของฟัน
   • รู้สึกร้อนวูบวาบในช่องอก
   • ประจำเดือนมาเป็นลิ่มเป็นก้อนหรือสีดำคล้ำ

          เรามักจะไม่ใสใจกับสัญญาณเตือนดังกล่าว แต่หารู้ไม่ อาการเหล่านี้ล้วนเกิดจาก ภาวะพลังชี่อั้นในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับ สำหรับผู้ที่มีสัญญาณเตือนของโรคตับการแพทย์จีนนิยมใช้สมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณในการระบายพลังชี่ในตับให้กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย เพื่อบำบัดโรคตับในระยะแรกเริ่มและเปรียบเสมือนเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
   • รักษาเพื่อบรรเทา  สำหรับกลุ่มที่เป็นพาหะและตับอักเสบเรื้อรัง การแพทย์จีนนิยมใช้สมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณในการขับพิษร้อน-ชื้นร่วมกับการสลายเลือดคั่งในตับ เพื่อหยุดยั้งการลุกลามของโรคและช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับ
   • จากการวิจัยและทดลองทางการแพทย์และเภสัชวิทยาในปัจจุบันพบว่า ยาสมุนไพรจีนที่อยู่ในรูปแบบสารสกัดเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด เนื่องจากสามารถสกัดและควบคุมสารออกฤทธิ์ได้อย่างเข้มข้นและแม่นยำ

     โดยมีกลไกออกฤทธิ์สำคัญดังนี้:
   • ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับ  ลดระดับเอนไซม์  ALT และ AST ในตับ  จึง บรรเทาอาการอักเสบ ส่งเสริมการฟื้นตัว และการซ่อมแซมของเซลล์ตับได้อย่างมประสิทธิภาพ
   • ลดภาวะความดันสูงในหลอดเลือดดำของตับ  เพื่อหยุดยั้งภาวะม้ามโตหรือลดขนาดความหนาของม้ามที่โตขึ้น  จึงช่วยชะลอหรือหยุดยั้งภาวะตับแข็งได้
   • เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของตับในการกำจัดไวรัส B  จึงสามารถกำจัดหยุดยั้งหรือลดการแบ่งตัวของไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
   • อาการที่เป็นสัญญาณเตือนของโรคตับแรกเริ่ม  และอาการปวดแน่นชายโครงด้านขวา ท้องอืดท้องเฟ้อ เบื่ออาหาร อ่อนเพลียและอาการอื่นๆ  ที่เกิดจากตับอักเสบเรื้อรังก็จะค่อยๆ ทุเลาลง
     - ผู้ป่วยโรคตับควรปฎิบัติตัวอย่างไร...

   • พักผ่อนให้เพียงพอ อย่านอนดึก เนื่องจาก 5 ทุ่มถึงตี 1 เป็นช่วงเวลาที่พลังชี่เดินมาอยู่ที่เส้นลมปราณตับ การพักผ่อนในช่วงนี้จะช่วยให้ตับซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น
   • ควรทำจิตใจให้แจ่มใส  พยายามหลีกเลี่ยงอารมณ์โกรธ  เครียดหรือซึมเศร้าที่จะเพิ่มความรุนแรงของภาวะพลังชี่อั้นในตับ ทำให้ตับถูกทำลายมากยิ่งขึ้น
   • ออกกำลังกายได้แต่อย่าหักโหม และไม่ควรทำงานตรากตรำเกินไป
   • หลีกเลี่ยงอาหารประเภทมันๆ ให้รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้นและอาหารที่ย่อยง่าย โดยเน้นผัก ผลไม้สดและอาหารที่มีวิตามินสูง
   • ห้ามดื่มเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด เพื่อป้องกันเซลล์ตับส่วนที่ยังดีอยู่ถูกทำลายมากขึ้น
   • หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดร้อน เช่น ขิงสด พริก ต้นหอมสด กระเทียมสด หอมแดงสด หอมใหญ่สดหรือวาซาบิ เป็นต้น เนื่องจากจะทำให้อาการเจ็บบริเวณตับกำเริบหรือทำให้อาการหนักขึ้น รวมทั้งจะเพิ่มภาวะร้อน-ชื้นที่ตับด้วย
   • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีการผสมสี วัตถุกันเสียหรือสารปรุงแต่งต่างๆ เนื่องจากจะทำให้ตับทำงานหนักขึ้น
   • หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหมักดองหรือมีสารดินประสิว  เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้มแหนม ไส้กรอก เบคอน เป็นต้น
   • หลีกเลี่ยงอาหารประเภทถั่วลิสงคั่วหรือป่น พริกแห้งหรือพริกป่น ข้าวโพด กระเทียม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้และอาหารเก็บค้างนานๆ  เนื่องจากอาจมีเชื้อราอะฟลาทอกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
   • ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเป็นโรคตับ  เพื่อให้แพทย์จ่ายยาที่มีผลกระทบต่อตับน้อยที่สุด อีกทั้งไม่ควรใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ
   • ควรตรวจเลือดหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha-fetoprotein)  ทุกๆ 3-6 เดือน เพื่อตรวจหามะเร็งตับระยะแรกเริ่ม
   • ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบควรบำรุงตับอย่างสม่ำเสมอ ทั้งที่ยังไม่มีอาการ

 

ขอขอบคุณ....จากแหล่งข้อมูล บริษัทเอินเวย์

Last modified on วันอังคาร, 10 กรกฎาคม 2555 15:18